คิวชู เดอะซีรีย์ EP3: คมบังวะ คาโงะชิม่า
ผ่านมาแล้ว 3 ตอนกับทริปเที่ยวเกาะคิวชูในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วันนี้ย่างเข้าสู่วันที่ 4 แล้ว ที่เราดั้นด้นเดินทางกันมาจากเมือง Fukuoka ต่อ Shinkansen มาถึงเมือง Kumamoto ค้างหนึ่งคืนก่อนนั่งรถไฟลงใต้ แวะกินข้าวหน้าปลาไหลกันที่เมือง Hitoyoshi (เพื่อความต่อเนื่อง กรุณาย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้ที่นี่ครับ) โดยช่วงบ่ายนี้เราจะนั่งรถไฟกันต่อไป จาก Hitoyoshi ไปถึงเป้าหมายปลายทางคือ Kagoshima ใช้เวลาโดยรวมอีก 3 ชั่วโมง
ป.ล. คุณสามารถค้นหา route ที่สั้นที่สุด ใช้ระยะเวลาเดินทางน้อยที่สุด ในเวลาที่สะดวกที่สุดผ่านเวบ Hyperdia นะครับ นี่แค่เป็น model route จำลองให้เห็นภาพว่าคุณต้องออกจากสถานีไหน แล้วไปต่อเครื่องเปลี่ยนรางกันที่ไหน เผลอหลับไปหนึ่งตื่น รถไฟอาจเลยไปไกลแล้วก็ได้นะฮะ (เช็คตารางเวลาการเดินรถไฟได้ที่นี่เลยครับ)

ประสบการณ์นั่งรถไฟสาย Kyushu
ถึงแม้จะใช้เวลาเนิ่นนานกันซักนิด แต่ก็ไม่น่าเบื่อซะทีเดียว ระหว่างเดินทาง มีจังหวะที่กัปตันรถไฟจอดแวะให้เราถ่ายภาพสถานีเก่าแก่ที่เก็บหัวจักรรถไฟรุ่นโบราณด้วย มีการใช้เสียงตามสายเชิญชวนให้เราชมดอกซากุระและสถานที่สำคัญข้างทาง ฟังไม่ออกหรอกฮะ แต่ก็พอเดาได้ว่าเขาต้องพูดอะไรประมาณนี้แน่ ๆ เลย
“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ท่านกำลังอยู่บนขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า Isaburo/Shinpei มุ่งหน้าไปสู่สถานี Yoshimatsu อีกสักครู่ขบวนรถไฟของเราจะมีการปรับตำแหน่งเมื่อเข้าใกล้สถานี Okoba เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ท่านจะได้เป็นสักขีพยานกับเส้นทางรถไฟแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่นที่มีการวิ่งวนรอบภูเขาแล้วสลับรางเพื่อทำการไต่ระดับขึ้นที่สูง ขอให้ท่านเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพวิวพาโนรามาที่สวยตรึงตาตรึงใจ และเมื่อเราถึงที่สถานี Yatake เราจะทำการจอดแวะเพื่อให้ท่านได้ลงไปถ่ายภาพกับ Majestic D51 รถไฟกลจักรไอน้ำโบราณที่จัดแสดงไว้ที่นั่น ในนามของ JR Kyushu Railway Company ผมขอขอบคุณที่ท่านร่วมเดินทางไปกับเรา”
นั่นแหละครับท่านผู้ชม ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เชิญชมภาพถ่ายที่ผมเก็บมาได้ระหว่างทางตามนี้เลยครับ (ชื่นชมข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้ได้ที่นี่ครับ)







ยังไม่ถึงนะครับ ยังไม่ถึง เรายังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟกันอีกรอบที่สถานี Yoshimatsu คราวนี้เราขอย้ายฟากจะสายแดงแจ๊ดไปยังสายดำจัดกันบ้าง รถไฟขบวนนี้มีชื่อว่า Hayato no Kaze คันนี้หล่อมากครับ ดูสุขุมนุ่มลึก (ชื่นชมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้ได้ที่นี่ครับ)
ขบวนนี้เขาก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน มี Observation Lounge ที่สามารถนั่งชมวิวทิวทัศน์เลียบอ่าว Kinko สามารถมองเห็นภูเขาไฟ Sukurajima จากอีกฟากของน่านน้ำ นอกจากนี้เขาก็มี Stamper คอยให้บริการสำหรับคนที่ต้องปั๊มตราบนแผ่นโปสการ์ด กับบริการถ่ายภาพกับป้ายรถไฟและหมวกที่พนักงานจัดให้ ผมกะจะเอาภาพมาโชว์ละ แต่ขอเปลี่ยนใจดีกว่า เพราะนายแบบตอนนั้นตัวบวมมาก จะถ่ายรูปนางแบบก็ไม่รู้เดินไปไหนแล้ว


ไปไหนมาไหนในเมือง Kagoshima
ถึงแล้วครับเมืองคาโงะชิม่า (คนไทยอ่านออกเสียงว่าคาโกชิม่า) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โตกว่าที่คิดเลยนะ อารมณ์ก็ประมาณภูเก็ตบ้านเรา ก่อนจะพาออกทัวร์ ขอตัวพาเข้าโรงแรม และซื้อตั๋ว day-pass สำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนนะครับ
โรงแรมที่เราพักกันสำหรับเมืองนี้ขอย้ายค่ายมา APA Hotel บ้าง หลังจากอยู่ Toyoko Inn มา 3 คืนติด (ไม่ใช่อะไรหรอก ตอนจองที่พักเราได้เรทราคาที่ถูกกว่า ก็เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่นี่ดูบ้าง) โรงแรมนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟมากเลยครับ เดินไปนิดเดียวก็ถึง (ประมาณ 2 นาที)




ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เราจะแวะเข้า Tourist Information ก่อนเพื่อเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวไหนดี
ตั๋วโดยสารสำหรับเมืองนี้แนะนำให้ซื้อ Welcome Cute (Day Pass สำหรับการใช้ Kagoshima City View Bus, Sakurajima Island View Bus, City Buses & Trams บวกกับการนั่ง Ferry ข้ามไปยังเกาะ Sakurajima ด้วย) มีอัตราให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือ 1,000 เยน สำหรับ 1 วัน และ 1,500 เยน สำหรับ 2 วัน แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจข้ามไปเกาะซากุระจิม่า ก็ยังมี 1-Day Pass แบบปกติขายด้วย 600 เยน สำหรับการใช้รถบัสและรถรางเฉพาะที่อยู่ในตัวเมืองเท่านั้น
โดยวันแรกที่เรามาถึงเมือง Kagoshima ก็เย็นแล้ว ก็เลยไม่ได้ซื้อ Day Pass สำหรับวันนั้น ใช้วิธีจ่ายเป็นเที่ยว ๆ ไป นั่งรถรางเที่ยวนึง ราคาค่าโดยสารก็จะตกอยู่ที่ 170 เยนครับ
แถมให้อีกนิดนึง สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่เมืองคาโงะชิม่า เขามีออกแอพตัวนึงที่สามารถโหลดได้ทั้งบน iTunes และ GooglePlay สามารถใช้หาข้อมูลที่กิน ที่เที่ยว ที่ช้อป และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่สำคัญสามารถใช้งานเป็นภาษาไทยได้ด้วยนะครับ

Kagoshima มีอะไรดีที่น่าเที่ยว
จังหวัดคาโงะขิม่าตั้งอยู่ตอนใต้สุดของเกาะคิวชู เป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจตั้งแต่เทือกเขาลำเนาไพร ภูเขาไฟ น้ำพุร้อน ออนเซ็น เกาะแก่งที่เหมาะสำหรับกิจกรรมทางทะเล เห็นอย่างนี้ จะเที่ยวให้ทั่วทั้งจังหวัดนี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ ขนาดพวกเราพักที่นี่ 2 คืน ยังเที่ยวกันได้เฉพาะบริเวณใกล้ ๆ กับตัวเมืองเท่านั้น แต่เพื่อให้บทความนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผมก็เลยแอบทำการบ้านเพิ่มเติมให้ด้วยการลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญตั้งแต่เหนือจรดใต้มาฝากเผื่อเป็นทางเลือกครับ
Kagoshima City View
เมื่อซื้อ City Pass มาแล้ว ก็พร้อมออกตะลุยเที่ยวรอบเมืองคาโงะชิม่ากันเลย ก่อนอื่นขออธิบายหน่อยว่า City View Bus ที่ว่านี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท แบบแรกเรียกว่า Shiroyama and Iso Course (เน้นนำเที่ยวรอบเมือง คันแรกออกวิ่งตอน 9 โมง คันสุดท้ายออกวิ่งตอน 17:20 น. กลับมายังสถานีต้นทางตอน 18:20 น. พูดง่าย ๆ จะวิ่งรอบละ 60 นาที) ประเภทที่สองเรียกว่า Waterfront Course (คันนี้จะเน้นเลาะไปตามชายฝั่งทะเล คันแรกออกวิ่งตอน 8:40 น. คันสุดท้ายออกวิ่งตอน 16:40 ถึงสถานีต้นทางตอน 17:55 น. ใช้เวลาวิ่งจนน็อครอบประมาณ 75 นาที) ส่วนประเภทที่สามเรียกว่า Night View Course (คันนี้เน้นออกวิ่งยามดึกเฉพาะคืนวันเสาร์ เฉพาะช่วงปลายปีจะมีวิ่งในวันศุกร์ด้วย คันนี้เขาจอดเฉพาะสถานที่สำคัญ ๆ เพื่อให้ชมไฟยามค่ำคืน คันแรกออกวิ่งตอน 1 ทุ่ม คันที่สองตอน 2 ทุ่ม) คุณสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมจากคู่มือที่เขาแจก ณ Tourist Information หรือจะดูตามที่เขาระบุไว้ในเวบลิงค์นี้ก็ได้ครับ (Kagoshima Official Tourism Website)
จากจุดแวะพักเที่ยวทั้งหมด 16 สถานี ผมแนะนำ 3 เลขนี้ครับ หมายเลขที่ 7 หมายเลขที่ 10 และหมายเลขที่ 13 ตึ๊ด ๆ เดี๋ยวสักครู่จะมาเฉลยว่าผมแนะนำให้ไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง


Shiroyama
เริ่มจากหมายเลขที่ 7 ชิโรยาม่าเป็นสวนสาธารณะที่เปิดตั้งแต่ตีห้ายันเที่ยงคืน สามารถแวะมาชมวิวได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวของเมืองที่อยู่บนเนินความสูง 107 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เห็นทิวทัศน์ของอ่าวคินโค และภูเขาไฟซากุระจิม่าได้ชัดเจน
การเดินทางมาที่นี่ต้องนั่งรถบัสแบบแรก Shiroyama and Iso Course จากสถานีต้นทาง Kagoshima Chuo Station มาถึงที่นี่ ใช้เวลาประมาณ 19 นาทีครับ
Senganen Garden
สถานที่นี้น่าจะป๊อปปูล่าที่สุด อยู่หมายเลขที่ 10 เซ็นกังเอ็นเป็นสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวางมากเลย ถ้าใครมีเวลาน้อยสามารถข้ามหมายเลข 7 แล้วแวะมาที่ Senganen ที่เดียวเลยก็ได้ จะได้วิวใกล้เคียงกัน คือเห็นทั้งวิวภูเขาไฟซากุระจิม่าและอ่าวคินโค สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้นคือในสวนจะมีทั้งศาลเจ้า Tsurugane Shrine ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความงาม กับศาลเจ้าแมวสำหรับคนที่เป็น Cat Lovers รวมถึงพิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ และร้านขายของฝากด้วย ผมแวะกินซอฟท์ครีมมันม่วงที่นี่ด้วย รสชาติก็พอไปไหว ส่วนวิวที่น่าประทับใจของสวนแห่งนี้น่าจะเป็น Signature View สัญลักษณ์ของเมืองนี้ รูปที่เรามักเห็นในโปสการ์ดและโบรชัวร์ท่องเที่ยว แอบถ่ายมาตั้งหลายมุม น่าจะพอมีสวย ๆ โดน ๆ บ้างล่ะ
By the way มาที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยนะ ตั้ง 1,000 เยน (แพงสุดเลยในทริปนี้) ราคานี้สำหรับการชมสวนอย่างเดียว ถ้าต้องการชมสวนและที่พักอาศัย (Garden & Residence) ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 1,600 เยน ส่วนเวลาเปิดเข้าชมนั้น เริ่มตั้งแต่ 8:30 น. ยาวไปจนถึง 17:30 น. เข้าใจตามนี้นะครับ (อย่าลืมเช็คเวลารถบัสด้วยล่ะ คันสุดท้ายวิ่งตอน 17:55 น. พลาดคันนี้ก็นอนมันที่นั่นเลย)
การเดินทางมาที่นี่ใช้ City View Bus ได้ทั้งสองแบบเพราะจอดแวะเหมือนกัน จะเลือกนั่งคันไหนก็ได้ แต่จากการคำนวณระยะเวลาเดินทาง Waterfront Course Bus จะใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่านิดนึงคือ 29 นาที















Kagoshima Aquarium
มาถึงหมายเลข 13 มันคือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอิโอะเวิล์ด ประจำเมืองคาโงะชิม่า ก็ไม่เคยไปเหมือนกัน แต่เห็นว่ามันน่าสนใจดี ก็เลยแปะไว้ให้สำหรับคนที่ชอบดู Dolphin Show ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคึกคักเท่าอันที่อยู่เมืองโอซาก้ารึเปล่า
การเดินทางมาที่นี่ใช้ City View Bus ทั้งสอบแบบ มาลงที่สถานี Kagoshima Suizokukan-Mae ใช้เวลาเดินทางจากสถานี Kagoshima Chuo มาถึงที่นี่ 16 นาทีโดย Waterfont Course และ 37 นาทีโดย Shiroyama Course
Sakurajima Island
ตั้งแต่ไปเที่ยวรอบเกาะคิวชูมา ต้องยอมรับว่าเมืองคาโงะชิม่านี่เจ๋งสุด ในเรื่องของการออกแบบการเดินทาง การทำ Model Course เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว อย่างเกาะซากุระจิม่าเนี่ย ก็ใช่ว่าจะเปิดให้ข้ามเกาะไปดูตลอดเวลานะ เพราะมีบางช่วงเหมือนกันที่ภูเขาไฟปล่อยควันออกมาคุกรุ่นจนทำให้บ้านเมืองมีฝุ่นควันลอยเต็มไปหมด อย่างในทริปนี้เราแอบได้เห็นกลุ่มควันลอยออกมาจากปล่องบ้าง แต่ตราบใดที่เจ้าหน้าที่เขายอมขายบัตรให้เรานั่งเฟอร์รี่ข้ามฝั่งมาได้ แสดงว่าเขาชัวร์แล้วว่าปลอดภัย
การเดินทางมาเที่ยวที่นี่เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก มี Welcome Cute City Pass ใบเดียว ครอบคลุมการเดินทางทั้งหมด ตั้งแต่นั่ง City View Bus มาลงที่สถานี Kagoshima Suizokukan-Mae ที่เดียวกับที่ไปชม Aquarium แล้วเดินต่อมาหน่อยที่ท่าเพื่อขึ้นเรือ Sakurajima Ferry ที่น่าอึ้งคือเฟอร์รี่ที่ว่านี้เปิดให้บริการแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงเลย มีเรือออกจากท่าทุก 15 นาทีตั้งแต่ตอน 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม (ช่วงเวลาอื่นจะมีรอบน้อยหน่อย) ใช้เวลาเดินทางก็ไม่นานประมาณ 15 นาทีเท่านั้น (บนเรือมีขาย Udon ด้วยนะเผื่อใครหิว) อ้อลืมบอกไป ค่าโดยสาร 160 เยน แต่ถ้ามีบัตร City Pass ก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
หลังจากขึ้นฝั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้มองหา Bus Stop จุดขึ้นรถ Sakurajima Islands View Bus โดยวันนึงเขาจะมีรถออก 8 รอบ รอบนึงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รอบแรกรถออกจากท่าตอน 9:00 น. รอบสุดท้ายตอน 16:35 น. กว่าเราจะมาถึงเกาะก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้ว เลยต้องทำเวลากันสักหน่อย จากจำนวน 9 สถานีที่รถบัสแวะรับส่งผู้โดยสาร จะมีอยู่ 3 สถานีที่รถบัสหยุดให้เราชมถ่ายภาพกันอย่างรีบเร่ง จุดแรกเป็นสถานีที่ 5 (Karasujima Observatory) ให้เวลาชะโงกทัวร์ประมาณ 5 นาที แชะ แชะ แชะ แล้วรีบกลับขึ้นรถ จุดที่สองเป็นสถานีที่ 6 (Akamizu Observatory) จุดนี้คุณจะได้เห็นวิว Taisho ลาวาและอ่าว Kinko ให้เวลาเพิ่มมาอีก 3 นาที เป็น 8 นาที ถ่ายรูปให้หนำใจแล้วรีบกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง มาจบลงที่สถานีที่ 8 (Yunohira Observatory) สถานีนี้นานสุดให้ตั้ง 15 นาทีแน่ะ เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดเท่าที่เขาจะอนุญาต เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบของ Sakurajima เมื่อครบรอบแล้วเราก็กลับมายืนที่เดิมที่ท่าเรือซากุระจิม่า
แหงนมองดูเวลา นี่เรายังพอมีเวลาเหลือเที่ยวชมเกาะได้อีกนิดหน่อย เราเลือกที่จะแวะไปที่นี่ครับ Sakurajima Dinosaur Park สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ห่างจากจุดที่เรายืนอยู่ประมาณ 700 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีคนญี่ปุ่น ผมว่าน่าจะมี 15-20 นาทีสำหรับคนไทย เพราะมันมีช่วงที่ทางชันอยู่บ้าง แต่แนะนำให้แวะไปโดยเฉพาะช่วงดอกซากุระบานหรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี บนนั้นมีเครื่องเล่นด้วยนะ ประเภท slider หรือที่โหนตัว ไม่ใช่แบบโลดโผน พอให้เล่นได้ขำ ๆ ณ จุดนี้ ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า บรรยากาศที่นี่ดูดีมากขอรับ
นอกจากการเที่ยวเกาะแบบพึ่ง City View Bus แล้ว คุณยังสามารถเลือกแบบ Walk Tour ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง (รวมการแวะออนเซน และการเดินป่าด้วย) และถ้าอยากไปลึกกว่านั้น อันนี้แนะนำให้เช่ารถ เพราะการจะเที่ยวให้ทั่วเกาะจริง ๆ มันต้องใช้เวลาร่วม 7-8 ชั่วโมง (ระยะทางรวมรอบเกาะ 36 กิโลเมตร) ลองพิจารณาดูละกันครับ เอาที่ชอบ ที่ชอบเลย
ได้เวลากลับไปหาของกินในเมืองแล้ว พบกันใหม่กับจุดหมายปลายทางถัดไปครับ












Ibusuki
อิบูสึกินี่เป็นอะไรที่อยากไปมาก แต่มันอยู่ไกลลงใต้ไปอีก ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสึนะมุชิออนเซ็นหรือการอบทรายร้อน ซึ่งเขาได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าออนเซ็นทั่วไปถึง 3-4 เท่าตัว แถมยังช่วยในการดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกายด้วย นี่ถ้าอบทรายแล้วไขมันในร่างกายสลายออกมาทางผิวหนังได้ จะบินไปญี่ปุ่นอบทรายร้อนทุกปีเลย โฮะ โฮะ โฮะ
ฝากไว้ก่อนนะอิบูสึกิ จดชื่อไว้เลย 2 ที่นี้เขาดังของเขาอยู่ Sakura Sand Bath Hall กับ Healthy Land (คนละอันกับ Health Land บ้านเรานะ)
อีกอันที่น่าไปเยี่ยมชมคือ Ikedako Lake เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องอสูรกายน้อยอันมีนามว่า “อิชชี่” ฟังชื่อก็คันแล้ว มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เจ้าปลาไหลญี่ปุ่นขนาดยักษ์ ที่มีขนาดยาวถึง 2 เมตรและมีขนาดรอบลำตัวถึง 50 ซม. ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้
Islands
ในจังหวัด Kagoshima มีเกาะที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง 3 แห่งที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเป็น Yakushima (เกาะแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก มีภูเขามิยาโนะอุระซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะคิวชู มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวนับพันปี) , Tanegashima (เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อกับจักรวาล ด้วยเหตุที่ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ปล่อยจรวดและดาวเทียมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น), Amami (เป็นเกาะที่มีความงดงามตามธรรมชาติ ได้ชื่อว่าเป็นกาลาปากอสแห่งซีกโลกตะวันออก เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นกิจกรรมทางน้ำ)
Kirishima
คิริชิม่าเป็นพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด Kagoshima อยู่บนแนวหุบเขาเดียวกันกับจังหวัด Miyazaki นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่จะชื่นชอบกับกิจกรรม Hiking ซึ่งเห็นวิวภูเขาไฟแบบเต็ม ๆ (ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีว่าเขาให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปในบริเวณนั้นได้หรือไม่ในช่วงนั้น) นอกจากนี้คิริชิม่ายังมีแหล่งออนเซ็นธรรมชาติหลายประเภท ตั้งแต่ออนเซ็นในหุบเขาไปจนถึงออนเซ็นในพื้นที่ราบ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่คนชอบเข้าไปกราบไหว้ คือ ศาลเจ้า Kirishima เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 มีการเล่าต่อกันมาว่าได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เนื่องจากเกิดการระเบิดของภูเขาไฟหลายลูก
ได้เวลาเติมพลังหม่ำของอร่อย
เนื่องจากคณะเราพักอยู่ที่เมืองคาโงะชิม่าอยู่ 2 คืน มื้อหลัก ๆ ที่ได้กินก็คงเป็นมื้อเย็น เช้าก็กินอะไรง่าย ๆ เท่าที่พอหาได้จาก Konbini กลางวันก็แอบกินขนมไปเรื่อยเปื่อย มื้อเย็นเราจึงต้องจัดหนัก ถ้าพูดถึงย่านของกิน ของช้อปที่เมือง Kagoshima คงหนีไม่พ้น Tenmonkan (เท็นมงคัง) ทีแรกเรานึกว่ามันคือชื่อร้านอาหารที่เรากำลังตามหา ถามคนญี่ปุ่นที่เป็นคนพื้นที่ เขาก็เกาหัวแกรก ๆ ว่าเรากำลังหมายถึงอะไร ในเมื่อจุดที่เรายืนอยู่มันก็คือ Tenmonkan แล้ว
การเดินทางในยามค่ำคืน คงต้องพึ่ง City Tram เพราะ City View Bus หยุดเดินทางกันหมดแล้วตั้งแต่ 6 โมงเย็น ข่าวดีคือสถานี Tenmonkan เป็นอะไรที่ฮิตมาก รถบัส รถราง ทุกสายจะต้องผ่าน ณ จุดนี้ ถ้าจะเดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ Kogoshima Chuo Station ให้เลือกนั่งรถรางสาย 2 นะครับ เพราะสาย 1 เขาไปคนละทิศ จำง่าย ๆ คือถ้าเห็น Ferris Wheel มาแต่ไกล ทางนั้นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่เรามา
Tsuru Ichi Dou
ร้านนี้เราได้เข้ามาลองโดยไม่ตั้งใจ เพราะทีแรกเราพยายามตามหา Fukurinmon ร้านปิ้งย่างที่มีคนเคยเขียนรีวิวเอาไว้ แต่พอไปถึงที่ร้าน เรากลับถูกโดนปฏิเสธว่า Booking เต็ม เขาไม่รับลูกค้าเพิ่มแล้ว ทีแรกเราก็เข้าใจว่าโต๊ะคงเต็ม แต่นี่มันเพิ่งจะ 2 ทุ่มเองนะ เราเดินจากมาอย่างจ๋อย ๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเกิดเราอยากกินจริง ๆ ทำไมเราไม่จองโต๊ะล่วงหน้าไปเลยล่ะ คืนพรุ่งนี้เราก็คงมาเดินแถวนี้แหละ เดินกลับเข้าไปตื๊ออีกรอบ เขาคุยกันเองงุบงิบ สุดท้ายก็โชว์สัญลักษณ์ไอ้มดเอ๊กซ์ด้วยการเอาแขนไขว้กันเป็นกากบาทเพื่อส่งสัญญาณว่ายังไงก็ไม่รับ เราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงหรอกนะ ว่าเขาไม่รับ Booking ล่วงหน้า หรือเขาบอกไม่ได้ว่าโต๊ะจะว่างมั้ยตอนเรามาถึง หรือเขาไม่อยากรับลูกค้าที่คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ช่างเถอะ เราไปหาร้านอื่นกินก็ได้ เชอะ
แล้วเชื่อมะ 2-3 ร้านที่เราแวะผ่าน ก็โชว์มือสัญลักษณ์เดียวกัน ทีนี้เริ่มไม่แน่ใจละ ว่ามันอร่อยขนาดที่นั่งเต็มกันทุกร้านเลยเหรอ ในระหว่างที่เรากำลังตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากร้านปิ้งย่าง ไปเป็นชาบูเผื่อมีโชค จู่ ๆ เราก็พบว่ามีร้านนึงเขากลับต้อนรับเราด้วยท่าทีแปลก ๆ แบบว่าสื่อสารกันไปมาไม่รู้เรื่อง พวกเราตกกระไดพลอยโจนสั่งเมนูบุฟเฟต์ไป หัวละประมาณ 3,000 เยน คือมีทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ปนมาในถาดเดียว เตาปิ้งก็เล็กมากสำหรับทานกัน 5 คน แถมยังต้องแบ่งโซนกันอีก ไม่ให้เนื้อหมู กับเนื้อวัวมาปนกัน กว่าจะได้กิน ปิ้งหน้ามันกันหน้าเตาเลย หมดไปถาดแรก แบบว่าอาหารยังไม่ได้ครึ่งกระเพาะเลย เรียกพนักงานมาถาม บอกว่าเราต้องการสั่งเพิ่ม Refill แบบ All-you-can-eat ใช่มั้ย พนักงานกลับส่งภาษามือกลับมาว่าต้องจ่ายเพิ่ม คราวนี้เราก็เฟลเลยสิ จะให้จ่ายเพิ่มอีก เดี๋ยวมันจะยิ่งแพงกันไปใหญ่
เราคิดเดากันเองว่าถ้ามันไม่ใช่แบบบุฟเฟต์ สงสัยทั้งถาดนี้เขาคงคิดเรา 3,000 เยนมั้ง ตอนเรียกมาเช็คบิลเท่านั้น โดนกันไปคนละ 3,240 เยน (รวม VAT ด้วย) ซีดและเข็ดไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ากินแบบบุฟเฟต์ถ้าเราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่แตกฉาน นี่ขนาดใช้ google translate ช่วยแล้วนะ มันก็ยังงง ๆ ว่าอะไรสั่งเพิ่มได้ อะไรต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก กินเป็น a la carte น่าจะเวิร์คกว่า เพราะคุม budget ได้ มื้อนี้ทำเอาเสียความรู้สึกมาก ๆ เพราะนอกจากจะไม่อิ่มท้องแล้ว ยังไม่อิ่มใจด้วย เพราะฉะนั้นมื้อนี้ ขออนุญาตไม่รีวิว อารมณ์เสีย



Tontoro Ramen
จากบทเรียนเมื่อคืนก่อน คืนนี้เราจึงเลือกร้านที่ปรากฎอยู่ในรีวิว เพราะสามารถบอกข้อมูลในเบื้องต้นได้ว่า รสชาติอาหารเป็นไง มีเมนูจานเด็ดอะไรที่แนะนำ แล้วราคาต่อหัวโดยประมาณเท่าไหร่ ผมเล็งร้านนี้ไว้บน Tripadvisor เป็นร้านอาหารอันดับ 3 ของเมืองคาโงะชิม่า (ที่มีคนรีวิวเยอะสุด) อันดับหนึ่งกลายเป็นร้านขนมที่มีชื่อว่า Tenmonkan Mujaki Migiwaidoriten อันดับสองคือร้าน Ajimori ร้านนี้เกือบไปถึงละ ดันโดน Tsuru Ichi Dou สกัดดาวรุ่งไปก่อน ส่วนราเมงเจ้านี้ก็ใช่ย่อย อารมณ์อยากกินเส้นอยู่แล้ว ก็เลยเปิด Google Maps นำทางไปโดยด่วน (ดูพิกัดตามนี้เลยครับ) จากสถานี Tenmonkan ก็เดินต่อมาประมาณ 10 นาที สักพักก็เจอ
ร้านนี้มีพื้นที่ในร้านไม่ค่อยเยอะมาก ออกแนวบ้าน ๆ ไม่หรูหรามากนัก เมนูก็เป็นภาษาญี่ปุ่นตามเคย แต่ก็ไม่น่าจะสั่งยากอะไร เพราะเขามีเขียนบอกว่าเมนูอันดับหนึ่งของที่นี่คือ Chashumen เพียงแค่เลือกขนาดว่าจะเอาแบบชามเล็ก ชามปกติ หรือชามพิเศษ จำราคาไม่ได้แน่ชัด รู้แต่ว่า หารเฉลี่ยออกมาแล้ว รวมกับหมูชาชูและเกี๊ยวซ่าที่สั่งเพิ่ม ก็ตกคนละ 1,050 เยน (300 กว่าบาท) นับว่าไม่แพงมาก
ส่วนรสชาตินี่ก็โอเคได้อยู่ ชอบน้ำซุป หอม กระเทียม และหมูชาชูซึ่งน่าจะเป็นเนื้อหมูดำ (ก็เขาเอาหมูดำไปแปะอยู่หน้าร้านซะขนาดนี้ แถมหมูดำก็ขึ้นชื่อที่เมืองคาโงะชิม่าด้วย) อร่อยฟินไปตามเรื่องราว ไม่รู้ลิ้นของผมมีปัญหารึเปล่า กินอะไรก็อร่อยไปหมด




รวมเรื่องเด็ดบนเกาะคิวชู (Khyshu The Series)
เพื่ออรรถรสในการอ่านเรื่องเด็ดบนเกาะคิวชู กรุณาย้อนไปอ่าน ตั้งแต่การวางแผนการเดินทางใน EP0 ยาวไปจนถึงบทสุดท้าย คลิ๊กได้ที่ลิงค์บทความด้านล่างนี้เลยครับ
EP 0: เตรียมพร้อมก่อนออกตะลุยคิวชู
EP 1: โอฮาโย ฟุกุโอกะ (Fukuoka)
EP 2: คอนนิจิวะ คุมาโมโตะ (Kumamoto)
EP3: คมบังวะ คาโงะชิม่า (Kagoshima)
EP4: โดโซะ มิยาซากิ (Miyazaki)
EP5: อริกาโตะ โออิตะ (Oita)
ส่วนใครที่วางแผนจะไปเที่ยว เกียวโต โอซาก้า โตเกียว ฮอกไกโด ให้ปักหมุดอ่านบทความที่ผมเคยเขียนไว้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ