คิวชู เดอะซีรีย์ EP2: คอนนิจิวะ คุมาโมโตะ
เข้าสู่วันที่ 3 ของทริปเที่ยวเกาะคิวชูแล้ว ใครที่พลาดบทความก่อนหน้านี้ แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านคิวชู เดอะซีรีย์ EP0: เตรียมพร้อมก่อนออกตะลุย และ EP1: โอฮาโย ฟุกุโอกะ ก่อนนะครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวเมือง คุมะมง ไม่ใช่สิต้องเมืองคุมาโมโตะ นั่นมันชื่อเจ้าหมีดำ mascot ประจำเมืองนี้ เรื่องการสร้างแบรนด์นำเสนอเรื่องน่าเล่าแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ นี่ต้องยกให้ประเทศญี่ปุ่นเขาเลย เขาไม่ได้เก่งกาจแต่การทำแพคเกจจิ้งสวย ๆ ห่อขนมเท่านั้นนะ แต่เขายังเก่งในการใช้ตัวละครเสริมโดยเฉพาะเจ้าตัวการ์ตูนคาแรกเตอร์ ในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจและจับต้องได้ง่ายขึ้น
อย่างเจ้าตัว Kumamon (คุมะมง) เขาวางบทให้เป็นเด็กผู้ชายที่ซุกซน เต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น (อุตะ นิสัยเหมือนกันเลย แค่อยากรู้อยากเห็นนะ ไม่ถึงกับสอดรู้สอดเห็น) เจ้าหมีดำถึงกับได้รับการขนานนามจากฝ่ายประชาสัมพันธ์เมืองนี้ ให้มีหน้าที่คอยบอกเล่าเรื่องราวความดีใจ และความประหลาดใจที่คุณสามาถพบได้ที่นี่ เมืองคุมาโมโตะ (คนไทยส่วนใหญ่มักจะออกเสียงเรียกเมืองนี้ว่าคุมาโมโต้)

ก่อนที่ผมจะพาคุณเที่ยวจังหวัดคุมาโมโตะ ขออธิบายหน่อยว่าจังหวัดนี้มีอาณาเขตค่อนข้างกว้าง มีเมืองคุมาโมโตะ เปรียบเสมือนอำเภอเมืองศูนย์กลาง แล้วก็ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งที่ล้อมรอบตัวเมือง อย่างเช่น Aso (อาโสะ) ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ มีปล่องขนาดใหญ่ติดอันดับโลก ยังคงมีควันออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง (ทริปนี้ยังไม่ได้ไป เสียใจด้วย ไม่มีภาพถ่ายมาอวด) นอกจากนี้ คุมาโมโตะยังถือเป็นเมืองสวรรค์แห่งน้ำพุร้อนด้วยเช่นกัน เพราะมีมากถึง 118 บ่อ Kurokawa Onsen คือหนึ่งในสถานที่ ๆ ยอดนิยมซึ่งอยู่ห่างจาก Aso ไปประมาณ 20 กิโลเมตร (อันนี้ก็ไม่ได้แวะไป อีกแระ) แล้วถ้าใครอยากท่องเที่ยวแบบฟรุ้งฟริ้ง แนะนำให้ลองนั่งรถจักรไอน้ำ SL Hitoyoshi จาก Kumamoto ไปยังเมือง Hitoyoshi (อันนี้เราก็จองไม่ได้ เพราะติดช่วงที่เขาซ่อมบำรุงหัวรถจักรพอดี) สรุปได้ไปเที่ยวอะไรกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย ใจเย็น ๆ ครับ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ว่าการผ่านมาแล้วผ่านไปจังหวัดคุมาโมโตะมันน่าสนใจยังไง?
พร้อมออกเดินทางไปคุมาโมโตะ
ก่อนจากเมืองฟุกุโอกะไปเที่ยวคุมาโมโตะ มี 2 สิ่งที่เราต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน อย่างแรกคือการส่งกระเป๋าข้ามเมืองด้วยบริการของแมวดำ (Yamato Transport) และการเปิดใช้ JR-Pass เป็นวันแรกพร้อมจองตั๋ว Shinkansen ก็อย่างที่อธิบายใน EP0: เตรียมพร้อมก่อนออกตะลุย ว่าการส่งกระเป๋าข้ามเมือง TA-Q-Bin เป็นอะไรที่สะดวกมาก คือเราก็แค่แพ็คของให้เรียบร้อย กรอกแบบฟอร์มที่ได้มาจากเคาน์เตอร์โรงแรม หรือที่ร้าน Konbini แล้วก็ฝากเจ้าหน้าที่โรงแรมดำเนินการให้ เมื่อเขาวัดไซส์ขนาดกระเป๋าแล้ว เขาก็จะแจ้งราคามาให้เลย อย่างในทริปของเรา เราจัดการแพ็คเสื้อผ้าติดตัวสำหรับใช้ 4 วัน (แนะนำให้เตรียมกระเป๋าล้อลากขนาดเล็กติดตัวไปด้วย) แล้วให้เขาส่งกระเป๋าใบใหญ่พร้อมสัมภาระที่ช้อปปิ้งมาตลอดทริปจาก Fukuoka ไปยัง Miyazaki เลย ตกเฉลี่ยต่อใบอยู่ที่ 1,200 เยน (เกือบ 400 บาท) เท่านั้น

ส่วนการ Activate ตั๋ว JR-Pass สำหรับนักท่องเที่ยว ให้ไปติดต่อ JR Office ที่สถานีฮากาตะ เฉพาะช่องด้านซ้ายสุดนะ (เคาน์เตอร์ 1 และ 2) ช่องอื่น ๆ สำหรับการซื้อตั๋ว จองที่นั่งทั่วไป จริง ๆ มันต้องกรอกแบบฟอร์มด้วย แต่ก็อ่ะนะ อ่านภาษาญี่ปุ่นกันไม่ออก โชคดีมีเจ้าหน้าที่เป็นธุระคอยช่วยบริการให้ เพียงยื่น Voucher ไปคู่กับพาสปอร์ต หลังจากนั้นก็ให้เขาช่วยจองที่นั่งขบวนรถไฟ Shinkansen Tsubame 319 ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 56 นาที (ค้นหาตารางเวลารถไฟได้จากเวบ Hyperdia ครับ) หน้าตาประมาณรูปด้านล่างนี้เลย เลือกเวลาที่ต้องการ แล้วให้เจ้าหน้าที่เขาออกตั๋วให้ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ไปขึ้นให้ถูกตู้ ถูกชานชาลาด้วยล่ะ (ดูได้บนหน้าจอ ส่วนที่นั่งจะระบุอยู่ในตั๋วครับ)



1 วันเที่ยวรอบเมือง Kumamoto
นั่ง Shinkansen นี่มันดี๊ดี แป๊บเดียวถึงที่หมายปลายทาง หลังจากถ่ายรูปทักทาย Kumamon ได้สักพัก เราก็ลากกระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมกันก่อน วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุดในตัวเมือง Kumamoto คือการซื้อ Kumamoto City Tram 1 Day Pass ราคาเพียง 400 เยนเท่านั้น คุ้มมาก ๆ เพราะค่าโดยสารเที่ยวเดียวก็ปาเข้าไป 170 เยนแล้ว พูดง่าย ๆ คือ ถ้านั่งไปนั่งมาเกิน 3 เที่ยวก็คุ้มแล้วครับพี่น้อง (อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางภายในเมืองคุมาโมโตะได้ที่นี่)
ก็เหมือนกันทุกเมืองกับการใช้บัตร day pass คือจะต้อง scratch แผ่น โปรดสังเกตวัน/เดือน/ปี ให้ดี อย่าขูดผิดเชียวหละ ไม่งั้นประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เหอ เหอ
หมายเหตุ: แต่ถ้าใครต้องการเดินทางออกนอกเส้นทางรถราง สามารถซื้อบัตรเพิ่มเติมเป็นแบบ Tram and Bus 1 Day Pass ได้นะ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 900 เยน



Suizenji Garden
มาถึงสถานที่แรกที่เรามาเช็คอินกัน ลุ้นนะว่าจะได้เจอซากุระบานมั้ย
ใครที่ชื่นชอบสวนญี่ปุ่น ต้องมาที่นี่เลยสวนซุยเซนจิ เป็นสวนที่ต้องเสียค่าเข้านะครับ ปกติ 400 เยน ราคาพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่ซื้อ City Tram 1-Day Pass 360 เยน (ประมาณ 80 บาท) ภายในร่มรื่นมาก ๆ มีศาลเจ้าเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในนั้น (Izumi Shinto Shrine) บริเวณโดยรอบมี ต้นไม้ปกคลุม มีบ่อน้ำเลี้ยงปลาคาร์ฟ และต้นไม้ที่ปลูกเป็นแนวระเบียบเรียบร้อยดี ถ้าเบื่อกับชีวิตที่รีบเร่ง คุณสามารถใช้เวลาอยู่ในสวนนี้ได้นานสองนานเลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้ที่นี่น่าแวะมาคือหนึ่งเดินทางสะดวก (นั่งรถรางมาถึง) สองมีร้านรวงตั้งอยู่โดยรอบ (อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารและขนม) และสามภายในสวนมีห้องน้ำคอยบริการ (สะอาดใช้ได้ตามมาตรฐานญี่ปุ่น) นี่ถ้าต้นซากุระบานฉ่ำกว่านี้ รับรองว่าสวนแห่งนี้ต้องสวยติดอันดับแน่ ๆ เลย (มีภาพมาให้ชมอื้อเลยครับ)
วิธีการเดินทางมาที่นี่ก็ใช้ City Tram หรือรถรางนั่นเอง นั่งจากสถานี Kumamoto (Line A, Stop ที่ 3) นั่งยาวรวดเดียวไปถึง Suizenji Park Station (Stop ที่ 18) จริง ๆ มันก็ไม่ไกลหรอกนะ แต่รถรางมันจะวิ่งเอื่อย ๆ นิดนึง กว่าจะถึงได้ก็เกือบ 20 นาที แน่ะ










Kumamoto Castle
มาถึงคุมาโมโตะ แล้วไม่ได้มาปราสาทคุมาโมโตะเหมือนมาไม่ถึง จริง ๆ ก็เกือบไม่ถึงแหละ ก็เพราะพวกเรามากันค่อนข้างสายแล้ว แถมยังหิวโซมาทั้งวันด้วย ก็เลยยืนถ่ายรูปอยู่แค่บริเวณด้านนอกของตัวปราสาท ใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ชมพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ควรพลาดนะ ยอมซื้อตั๋วเข้าชม 500 เยน (มีส่วนลดให้สำหรับคนที่ซื้อ City Tram 1-day Pass ราคาน่าจะเหลือ 400 เยน)
วิธีการเดินทางมาที่นี่ก็ใช้รถรางเหมือนกัน นั่งย้อนลงมาจาก Stop ที่ 18 Suizenji มาถึงปราสาทที่สถานีที่ 10 Kumamoto Castle จากนั้นก็ให้เดินเท้าขึ้นมาอีกหน่อยพอให้เหงื่อซึม คุณก็จะเห็นปราสาทตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือครับ




อิ่มนี้ที่ Kumamoto
ไหน ๆ ก็แวะมาถึงปราสาทแล้ว ลองเดินตามไหล่ทางลงมาที่ศูนย์สรรพสินค้านี้กัน Sakurano-baba Josaien มันเป็นเวิ้งขนาดใหญ่ที่รวบรวมงานด้านศิลปะวัฒนธรรมจำลองมาไว้ในที่เดียวกัน แต่ที่ชวนลงมาเดินที่นี่ ก็เพราะเรามาตามหาของกินอ่ะครับ ณ จุดนี้ พี่หิวมาก
คุมาโมโตะได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอาหารและขนมโบราณที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง สิ่งที่อยากให้ลองชิม/ทานดูก็จะมี Karashi renkon (เป็นรากบัวสอดไส้มัสตาร์ด) โหเผ็ดจี๊ดถึงใจ อันนี้ห้ามพลาด Menchi katsu (คัตสึเนื้อม้า) แบบทอดนี่ยังพอโอเค แต่ถ้าให้กินเป็นแบบซาชิมินี่คงไม่ไหวจะเคลียร์ Uni Korokke (โครเกต์ไข่หอยเม่น) เป็นการนำมันฝรั่งผสมครีมและข้าวสอดไส้ไข่หอยเม่นแล้วนำไปทอด รสชาติหยึ๋ยมาก ใครที่ชอบก็ชอบไปเลย ส่วนใครที่เกลียดนี่ก็แหยงไปเลยเช่นกัน นึกถึงรสชาติแล้วขนลุก Shiratama (ขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว) มีภาพให้ดูด้านล่าง ทานคู่กับซอสถั่วแดงก็ได้ ยิ่งทานกับไอศกรีมก็ยิ่งชื่นใจ Ikinari dango (ขนมดังโงะสอดไส้มันและถั่วแดง) Higo Daiko (ขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากถั่วลิสง) เขาอัดมาเป็นแผ่นกลม น่ากินมาก ๆ เสียดายที่ไม่เจอก่อน ไม่งั้นเสร็จตรูแน่ นั่งดูรูปไป ก็กลืนน้ำลายไป เอื๊อก ๆ (ดูภาพทั้งหมดจากร้านต่าง ๆ ใน Josaien ได้ที่นี่เลยครับ)









เนื่องจากทริปนี้เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดในเมืองคุมาโมโตะ เราเลยไม่ได้มีร้านอาหารมานำเสนอมากมาย แค่กินตามทางอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็ทำเอาอิ่มจุกแล้ว แต่พอมาถึงมื้อเย็น พวกเราก็จัดเต็มครับ
Katsuretsutei Shinshigai Honten
ชื่อจะยากและยาวไปไหนเนี่ย ขอบอกว่าร้านนี้ไม่ใช่ร้านไก่กานะ เพราะเขาเป็นร้านขายทงคัตสึที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ ดังถึงขั้นติดอันดับหนึ่งบน Tripadvisor เลยนะจะบอกให้ คิดเหมือนกันว่าจะต้องรอคิวนานแน่ ๆ เพราะเห็นแต่ละคนที่เคยไปกินมา ใช้เวลารอคิวเฉลี่ย 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่งกันทั้งนั้น ส่วนพวกเรา วันนั้นมากันชิล ๆ เดินทอดน่อง ดุ่ย ๆ เข้าไปในร้าน อารมณ์ประมาณหิวมาก จัดไปเบา ๆ รอแค่ 15 นาทีเท่านั้น ก็ไม่รู้สินะ เหมือนทริปนี้จะพาโชคเรื่องอาหารการกิน พระสุกรขอเสี่ยงทายว่าปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ด้วยไขมันและโปรตีน
การเดินทางมาที่ร้านก็ไม่ยากเท่าไหร่ ให้นั่งรถ Tram มาลงที่สถานี Karashimacho (Stop ที่ 8) แล้วเปิด Google Maps หาทางมาที่ร้าน (พิกัดตามนี้เลย)
โชคดีที่ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษครับก็เลยสั่งง่ายหน่อยครับ สำหรับเมนู Atsuage Roast-katsu Zen 180 กรัม เป็นหมูคุโรบุตะทอด (ราคา 1,800 เยน) ถ้าสั่งแบบจัดเต็มหน่อยทางร้านก็แนะนำ Atsuage Kurobuta Roast-Katsu Zen 180 กรัม (2,500 เยน) ความต่างของเมนูแรกกับเมนูสองคือ อย่างที่สองเขาจะระบุว่าใช้ Roppaku-Kurobuta ซึ่งเป็นหมูดำเกรดพรีเมียมจากเมือง Kagoshima แล้วถ้าสั่งเป็นเซ็ตเขาจะเสิร์ฟมาพร้อมข้าว ซุปมิโสะ และกะหล่ำปลีหั่นฝอย สามารถเติมได้ไม่อั้น
หลังจากจัดไป บอกได้หลายคำว่ามันเป็นคัตสึที่เยี่ยมยอดมากครับพี่น้อง เนื้อมันนุ่ม ทอดกรอบมาซะสีเหลืองทอง เพียงแต่ชั้นไขมันเยอะไปหน่อยนะ แบบว่าพี่กลัวอ้วนน่ะ ถามว่าแล้วกินหมดมั้ย ตอบทันทีว่า “จะเหลือเรอะ” ความเด็ดของมันมาตั้งแต่เครื่องเคียง อย่างผักดองนี่กินแล้วกินอีก หัวไช้เท้าบดทานคู่กับ Ponzu Sauce นี่เป็นอะไรที่รสชาติสดชื่นมาก (ไช้ชวนชิมโปรดสุดในบรรดาเครื่องเคียงทั้งหลาย) ส่วนน้ำสลัดที่เอาไว้ทานกับผักกะหล่ำมีให้เลือก 2 แบบ เป็นแบบงาและแบบที่ออกรสเปรี้ยวของส้ม Yuzu ผมชอบอย่างหลังมากกว่านะ ส่วนกะหล่ำปลีร้านนี้จะหั่นหยาบหน่อย ไม่ละเมียดเท่าไหร่ โดยรวมคือปลื้มปริ่ม ถ้าให้กลับมาเที่ยว Kumamoto อีก ก็คงต้องแวะกลับมาซ้ำแน่นอนครับ คนที่ชอบทานของทอดต้องจัดไปสักหนึ่งมื้อ ส่วนคนที่เป็นแซชือ (ร้อนใน) ก็อดไป








กินอิ่มแล้ว ขอตัวกลับโรงแรมไปนอนผึ่งพุงดีกว่า ก่อนนอนใช้ Kumamon Eye Pad มาอังตาให้หลับสบาย ใครไปญี่ปุ่นแนะนำเลย ให้ซื้อเจ้าแผ่นปิดตาจากร้านขายยาชั้นนำทั่วไป ไม่ต้องยี่ห้อนี้ก็ได้นะ เพราะมันแอบแพงกว่าปกติ ตอนอังไว้ที่ตา มันจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่เบ้าตา ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี เหมาะมากสำหรับคนที่วัน ๆ จ้องหน้าคอมพ์เป็นเวลานาน ๆ
ราตรีสวัสดิ์พี่น้องชาวไทย พรุ่งนี้ผมจะพาไปเที่ยวเมือง Hitoyoshi กันต่อ ครอกฟี้ ZZzzzzzzz


หยุดตรงนี้ที่เธอฮิโตโยชิ
ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้รถไฟสายฟรุ้งฟริ้ง Kyushu Railway Company พร้อมที่จะออกเดินทางไปยังเมือง Hitoyoshi แล้ว กรุณาเตรียมบัตรโดยสารให้พร้อม แล้วพบกันที่ชานชาลาหมายเลข 5 ชานชาลาหมายเลข 5
วันนี้พวกเรา check-out จากโรงแรมกันแต่เช้า เพราะตามกำหนดการ ขบวนรถไฟที่เราเลือกจาก Hyperdia จะออกเดินทางในเวลา 8:37 น. รู้จากเพื่อนผู้นำทริปมาก่อนว่าตลอดเส้นทางสายนี้จาก Kumamoto ไป Kagoshima นั้น ทัศนียภาพงดงามมาก ทีแรกก็ตั้งใจจะจองรถไฟ 3 สหาย หนึ่งในนั้นคือ SL Hitoyoshi (รถหัวจักรไอน้ำ) แม้มันจะวิ่งช้าหน่อย แต่มันจะได้อารมณ์ออกทริปแบบ Slow Life มาก น่าเสียดายตอนจังหวะที่ไป เขายังซ่อมบำรุงหัวรถจักรไม่เสร็จ ก็เลยต้องระเห็จมานั่งรถไฟแบบ Limited Express แทน
จากตารางเวลาที่แจ้งไว้ เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 84 นาทีจาก Kumamoto ไปยัง Hitoyoshi ถึงนั่นก็พอดีประมาณ 10 โมงเช้าครับ พร้อมบอร์ดดิ้งแล้ว ไปก่อนนะครับเพื่อน ๆ



ในขณะที่นั่งรถไฟไป ก็ชื่นชมวิวไป รถไฟวิ่งขนานกับแม่น้ำ Kumagawa River วิวสวยมากครับ โดยเฉพาะช่วงที่เห็นดอกซากุระบานเต็ม 2 ข้างทาง น่าเสียดายกดชัตเตอร์ไม่ทัน ก็เลยชักภาพมาได้เท่าที่เห็น สิ่งที่ทำให้ทริปนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมา นอกจากจะเป็นขบวนที่เหมาะสำหรับการชมวิวทิวทัศน์แล้ว ระหว่างที่รถไฟกำลังวิ่งอยู่ ก็จะมีเจ้าหน้าที่สาวญี่ปุ่นเดินออกมาแจกโปสการ์ดให้เรา Stamp ตรายางด้วย ประมาณว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์เรามาแล้ว แถมยังแจกลูกอมเม็ดเล็ก ๆ สีแดงเป็นรูปรถไฟมาเป็นที่ระลึกให้ด้วย เห็นมั้ยล่ะว่ามันฟรุ้งฟริ้งสมชื่อจริง ๆ (Lily of the Valley)





ตอนเวลาประมาณ 10 โมงเศษ ๆ รถไฟขบวนนี้ก็ได้เทียบท่าสู่ชานชาลาที่สถานี Hitoyoshi ถ่ายรูปกันสัก 2-3-4-5 แชะ กับจุดหมายระหว่างทางที่เราตั้งใจแวะมาเพื่อภารกิจตามหา “ข้าวหน้าปลาไหล 100 ปี” จะว่าไปการที่เราพลาดขบวนรถไฟ SL Hitoyoshi ในเที่ยวนี้ก็มีข้อดีนะ เพราะมันทำให้เรามีเวลามากพอในการหยุดทานข้าวหน้าปลาไหลก่อนต่อรถไฟไปยังเมือง Kagoshima นี่เราเห็นแก่กินขนาดนี้เชียวหรือ….
มันจะอร่อยขนาดไหน โปรดติดตามเรามาทางนี้


Uemura Unagiya
ร้านข้าวหน้าปลาไหล 100 ปีที่ว่านี้ เป็นร้านอาหารที่ติดอันดับหนึ่งใน Tripadvisor และยังได้ชื่อว่าเป็น 1 ในร้านข้าวหน้าปลาไหลที่ขึ้นชื่อที่สุดใน Tabelog ด้วย พระเจ้าจอร์จและซาร่า มันจะอร่อยเด็ดอะไรขนาดน้าาาน (กดดูพิกัดได้ที่นี่ครับ)
ปกติผมก็ไม่ได้โปรดปรานเจ้าพ่อปลาไหลนี่เท่าไหร่นัก แต่ถ้ามันเย้ายวนขนาดนั้น ก็คงต้องลองชิมดูกันสักตั้งว่ามันจะแน่ขนาดไหน พอเก็บสัมภาระไว้ในตู้ Locker เสร็จ พวกเราก็ตั้งขบวนตามล่าหาร้านข้าวหน้าปลาไหลในตำนานผ่าน Google Maps
ทันทีที่เดินทางมาถึงที่ร้าน ทีแรกก็นึกแปลกใจนะ ว่าทำไมบรรยากาศร้านมันช่างเงียบเชียบขนาดนี้ ไร้ผู้คนต่อคิวรอ นี่เราไม่ได้มาผิดร้านกันใช่มั้ย ก็ไม่น่านะ อ้อ…อาจเป็นเพราะเรามาก่อนเวลาก็เป็นได้ โผล่หน้าเข้าไปดูนิดนึงเพื่อให้แน่ใจว่าร้านเปิด (ถ้าวันนี้ร้านปิดเหมือนที่เคยโดนเทมาครั้งนึงที่โอซาก้าล่ะก็ คงมีฟาดงวงฟาดงาเป็นแน่ 555) โดนเทในที่นี้หมายถึงโดนเบี้ยวนะครับ เผื่อใครไม่รู้ อิอิ
และแล้วโชคก็เข้าข้างเราอีกครั้ง แม่สาวน้อยเชิญเราเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว บรรยากาศช่างดูเก่าแก่และขลังยิ่งนัก กว่าจะสั่งอาหารกันรู้เรื่อง ต้องใช้ทั้ง Google Translate ภาษามือ และภาษาเดา เอาเป็นว่าก็ได้กินข้าวหน้าปลาไหลสมใจอยาก เสิร์ฟมาเป็นกล่อง ๆ กล่องเล็ก 4 ชิ้น 2,600 เยน กล่องใหญ่มี 6 ชิ้น 3,800 เยน เทียบเป็นเงินไทยก็ไม่ถูกนะ ตกราว 800-1,200 บาท/1 สำรับ แต่ขอบอกว่า มันอร่อยเทพมาก ตั้งแต่ตัวข้าวที่หุงขึ้นหม้อ เนื้อปลาที่ย่างมาเกรียมได้ที่ ไม่มีกลิ่นคาว น้ำราดนี่ก็สุโค่ยมาก เอาเป็นว่า ตั้งแต่กินปลาไหลมานับครั้งถ้วน ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ดีที่สุด แล้วดีกว่านี้มีอีกมั้ย (อันนี้ต้องไปถามบาร์บีกอนละ)
อร่อยหมดจดจนเมล็ดสุดท้าย ไม่เสียทีที่เจ้าปลาไหลต้องสิ้นชีวาเพื่อการดำรงชีพของข้าพเจ้า หลังจากโบกมือลาคุณป้าทั้งหลาย พอเดินออกมานอกร้านเท่านั้นแหละ เร่ิมเห็นคิวยาวเป็นทิวแถว นี่คงเป็นเพราะมันเป็นเวลาใกล้เที่ยงนั่นเอง นี่ขนาดเป็นเมืองเล็ก ๆ นะ ถ้าร้านนี้ไปตั้งอยู่แถวโตเกียว เกียวโต โอซาก้าล่ะก็ มีหวังแถวยาวไปถึงหน้าปากซอยแน่ ๆ ใครได้มาเที่ยวเกาะคิวชู ถ้าผ่านมาแถวนี้ ก็ขอโดโสะ อริชัยมาเสะ แวะมาชิมข้าวหน้าปลาไหล Uemura Unagiya กันนะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวัง ไช้ชวนชิมการันตี












นี่มัวแต่กินจนไม่ได้เดินเที่ยวเมือง Hitoyoshi เลย ก่อนจากมา ก็เลยแวะชม Miso and Soy Sauce Factory (Kamada) เป็นโรงงานผลิตซอสมิโสะและซีอิ๊ว โดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับมาเลย (ร้ายกาจจริง ๆ) แล้วก็หยุดถ่ายรูปที่หอนาฬิกา ก่อนมุ่งหน้าขึ้นรถไฟไปยังเมือง Kagoshima ไม่วายขออุดหนุนซื้อข้าวกล่องจากคุณลุง Shobu คนขาย Kurimeshi Bento (ข้าวหน้าเกาลัด) อันเลื่องชื่อ เพราะคุณลุงขายมานานจนอายุเกือบจะ 80 ปีแล้ว แข็งแรงจริง ๆ คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยว Hitoyoshi อีก ต้องหาโอกาสมานั่งรถไฟ SL Hitoyoshi ให้ได้ (ดูสิ มันน่านั่งขนาดไหน คลิ๊กที่ลิงค์นี้ดูเลยครับ)







เอาล่ะครับเราจะจบเรื่องเล่าเพียงเท่านี้ก่อน พบกันในสถานีถัดไปตอนที่เราต่อรถไฟไปถึงเมือง Kagoshima เย่ เย่ เย้
รวมเรื่องเด็ดบนเกาะคิวชู (Khyshu The Series)
เพื่ออรรถรสในการอ่านเรื่องเด็ดบนเกาะคิวชู กรุณาย้อนไปอ่าน ตั้งแต่การวางแผนการเดินทางใน EP0 ยาวไปจนถึงบทสุดท้าย คลิ๊กได้ที่ลิงค์บทความด้านล่างนี้เลยครับ
EP 0: เตรียมพร้อมก่อนออกตะลุยคิวชู
EP 1: โอฮาโย ฟุกุโอกะ (Fukuoka)
EP 2: คอนนิจิวะ คุมาโมโตะ (Kumamoto)
EP3: คมบังวะ คาโงะชิม่า (Kagoshima)
EP4: โดโซะ มิยาซากิ (Miyazaki)
EP5: อริกาโตะ โออิตะ (Oita)
ส่วนใครที่วางแผนจะไปเที่ยว เกียวโต โอซาก้า โตเกียว ฮอกไกโด ให้ปักหมุดอ่านบทความที่ผมเคยเขียนไว้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ